วันเสาร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2551

นมกับแคลเซียม ความจริงที่ควรรู้


นมเป็นแหล่งสำคัญของแคลเซียมและโปรตีน ช่วยให้กระดูกเจริญเติบโตและแข็งแรง นมมีความสำคัญกับเด็กมากโดยเฉพาะเด็กในช่วงก่อนเข้าวัยรุ่นและช่วงวัยรุ่น เพราะเป็นช่วงที่ร่างกายเจริญเติบโตเร็วมาก
แคลเซียมช่วยให้เด็กมีความหนาแน่นของมวลกระดูกมากขึ้น พอเข้าสู่วัยรุ่น จะช่วยให้กระดูกยาวขึ้น ถ้าในวัยเด็กและวัยหนุ่มสาว ร่างกายเรามีการสะสมไว้เพียงพอ จะช่วยลดความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุน กระดูกเปราะแล้วยังช่วยในเรื่องของฟันอีกด้วย แต่ถ้าใครมีไม่เพียงพอ จะทำให้เสี่ยงต่อโรคกระดูกเปราะได้ง่าย
ความจริง ประโยชน์ของแคลเซียมในน้ำนมไม่ได้มีแค่นั้น ยังทำหน้าที่ยืดหดของกล้ามเนื้อ ช่วยให้ระบบประสาทไวต่อสิ่งเร้ามากขึ้น ช่วยให้เลือดแข็งตัว
งานวิจัยระยะหลังออกมามากว่า แคลเซียมช่วยลดความดันโลหิต ลดความเสี่ยงของมะเร็งลำไส้ใหญ่ ซึ่งขณะนี้ในหลายประเทศทั้งสหรัฐและยุโรป ศึกษาวิจัยกันมาก โดยใช้นมพร่องมันเนยให้กับเด็กวัยรุ่นที่อยู่ในโปรแกรมลดน้ำหนัก โดยพบว่ากลุ่มเด็กที่ดื่มนมพร่องมันเนยสามารถลดน้ำหนักได้ดีกว่ากลุ่มที่ไม่ได้ดื่มนม ทำให้เข้าใจว่าแคลเซียมมีผลต่อการใช้ไขมัน ซึ่งอยู่ในขั้นศึกษาอยู่ แต่พอสรุปได้ว่านมยังช่วยในเรื่องลดน้ำหนักอีกด้วย
ทั้งนี้ มีข้อมูลระบุว่า เด็กไทยตัวเตี้ยกว่ามาตรฐานสากลค่อนข้างเยอะ ถ้าอยากให้เด็กไทยเติบโตเต็มศักยภาพ พ่อแม่ผู้ปกครองควรให้ลูกหลานดื่มนมอย่างเพียงพอ เพราะนมมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์กับเด็ก โดยเฉพาะนมจืด เพราะไม่เป็นปัญหาในเรื่องอ้วนและฟันผุ
จากภาพรวมในรายงานของสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจการเกษตร ระบุด้วยว่าคนไทยดื่มนม 12.3 ลิตรต่อคนต่อปี เทียบแล้วตกวันละ 33 ม.ล.หรือประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ ถือว่าค่อนข้างน้อย
เด็กควรดื่มนมอย่างน้อยวันละ 2-3 แก้ว ถ้าอยู่ในโรงเรียนประถม อย่างน้อย 1 แก้ว เป็นนมฟรีจากโรงเรียน ซึ่งถือว่ายังไม่พอ ทางบ้านหรือโรงเรียนต้องเสริมให้อีก โดยในโรงเรียนควรมีสถานที่ขายนมให้เด็ก แทนที่จะขายน้ำหวาน
บางคนไม่ชอบดื่มนม เพราะดื่มแล้วไม่สบายท้อง ท้องเสีย จริงๆ แล้วคนอายุ 6 ขวบ ขึ้นไป น้ำย่อยที่จะย่อยน้ำตาลแลกโตสในนม ซึ่งอยู่ในทางเดินอาหารจะน้อยหรือแทบจะไม่มีแล้ว น้ำตาลจะถูกแบคทีเรียใช้ สร้างเป็นกรดขึ้นมา เกิดเป็นแก๊ส ทำให้ท้องเสีย ซึ่งเป็นปัญหาของคนที่ไม่ได้ดื่มนมต่อเนื่อง แต่คนที่ดื่มนมต่อเนื่องจะมีการปรับตัว ทำให้ไม่รุนแรงหรือไม่มีอาการ
ดังนั้น คนที่ดื่มนมแล้วมีอาการ จะมีความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนสูง จึงควรปรับมาดื่มนมหลังอาหารหรือดื่มปริมาณน้อยแต่ดื่มหลายๆ ครั้ง ให้ได้วันละ 1 แก้ว เพื่อไปชะลอไม่ให้กระดูกพรุนเร็วขึ้น

วันพุธที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2551

นมให้อะไรมากกว่าที่คิด

ความรู้เพิ่มเติมเรื่องนม
ผศ.ดร.ประไพศรี ศิริจักรวาลนักวิชาการด้าน โภชนาการ สถาบัน วิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัย มหิดล

....."คนไทยสมัยก่อน ไม่ได้ดื่มนม แต่ก็มี ร่างกายที่แข็งแรง เพราะกินพืชผัก และอาหารจาก ธรรมชาติ ที่มีคุณค่า ครบถ้วน ประกอบกับ ส่วนใหญ่ จะต้องทำงานออกแรง เพราะไม่มี เทคโนโลยีช่วย จึงช่วยให้ ร่างกาย นำแคลเซียม ไปใช้ได้ดี แต่ปัจจุบัน พฤติกรรมการบริโภค และวิถีชีวิต ของคนไทย เปลี่ยนไป เรากินอาหาร จากธรรมชาติ น้อยลง และทำงาน ออกกำลังกาย น้อยลง ร่างกาย จึงไม่สามารถ นำแคลเซียม ไปสร้างกระดูกได้ดี เหมือนคนสมัยก่อน เราจึงรณรงค์ ให้ดื่มนม ร่วมกับ การออกกำลังกาย เพราะนม เป็นแหล่ง แคลเซียม ที่ร่างกาย ดูดซึมไปใช้ได้ดี หาซื้อได้ไม่ยาก และราคาไม่แพง เมื่อเทียบกับ อาหารเสริม ประเภทอื่น ....."เราอยากให้คนไทย เติบโต เต็มศักยภาพ คือมี โครงสร้างร่างกาย ที่แข็งแรง และสูงใหญ่ ร่างกาย ต้องการแคลเซียม และแร่ธาตุ ไปสร้างกระดูก เราเห็นบทเรียนจาก ประเทศญี่ปุ่น เมื่อก่อน เขาตัวเล็กๆ พอหลัง สงครามโลก รัฐบาลส่งเสริม ให้บริโภคนม มากขึ้น คนญี่ปุ่น ก็มี โครงสร้าง ร่างกาย สูงใหญ่ จนเห็นได้ชัด เด็กไทยปัจจุบัน ก็สูงขึ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ไม่ได้ตีความว่า รูปร่างสูงใหญ่ จะเก่ง หรือฉลาดกว่า คนรูปร่างเล็ก อันนี้ ต้องอยู่ที่ การพัฒนา และโอกาส ด้านการเรียนรู้ ของเด็กเหล่านี้ ....."นมวัว เป็นแหล่งโปรตีน คุณภาพดี มีกรดอะมิโน ครบถ้วน ตามที่ร่างกาย ต้องการ โปรตีนในนมวัว แบ่งเป็น สองกลุ่ม คือ เคซีน (casein) เป็นโปรตีนหลัก มีประมาณ ๘๐% ของโปรตีนทั้งหมด และโปรตีนเวย์ (whey) มีประมาณ ๒๐% ในเด็กทารก ที่น้ำย่อย ยังไม่สมบูรณ์ อาจทำให้ โปรตีน โมเลกุลใหญ่ ของนม ถูกดูดซึมไปได้ และอาจเกิดอาการ แพ้โปรตีนของนมวัว เช่น เป็นผื่นคัน ท้องเดิน อาเจียน หรือหอบ ดังนั้น เด็กทารก ควรดื่มนมแม่ ดีที่สุด อาการแพ้โปรตีน จะเกิดขึ้นใน เด็กทารก ช่วงหนึ่ง ถึงสองปีแรก เมื่อเด็กโตขึ้น ระบบน้ำย่อย เข้าสู่ภาวะสมบูรณ์ ก็สามารถ ดื่มนมวัวได้ โดยไม่มีอาการแพ้ ....."ส่วนอาการ แพ้น้ำตาลแล็กโตส หรือ Lactose intolerance เป็นเพราะคนเชีย ๘๐% ไม่มี เอมไซม์ ย่อยน้ำตาล แล็กโตส ในนม เมื่อดื่มนมเข้าไป จุลินทรีย์ ในทางเดินอาหาร จะนำน้ำตาลไปใช้ เกิดการสร้างกรด และแก๊ส ทำให้มีอาการ แน่นท้อง และท้องเดิน อาการเหล่านี้ ไม่เป็นอันตราย และจะหายไป ถ้าดื่มนมทีละน้อย หรือดื่มนม หลังอาหาร ....."เมื่อไม่นานมานี้ มีกระแสต่อต้าน การดื่มนมว่า เคซีน เป็นโปรตีนที่ย่อยยาก ก่อให้เกิดมูก เมือกอุดตัน เป็นสาเหตุของ โรคภูมิแพ้ และโรคมะเร็ง ดิฉันคิดว่า เราต้อง ทำความเข้าใจ ก่อนว่า อาการแพ้โปรตีน เป็นอาการที่ เกิดเฉพาะ เด็กวัยสองขวบปีแรก และพบในอัตรา ๑% เท่านั้น อาการแพ้โปรตีน จึงไม่น่าเกิดกับ เด็กโต และผู้ใหญ่ ส่วนเคซีน เป็นโปรตีนธรรมดา ที่ร่างกายสามารถ ย่อยสลายเป็น กรดอะมิโน และนำไปใช้ได้ ตามปรกติ ดิฉัน ยังไม่เคยพบ รายงานวิจัย ที่ยืนยันว่า เคซีนไปอุดตัน ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย จนก่อให้เกิดโรค ....."นม ไม่เพียงแต่ จะให้สารอาหาร โปรตีน ที่มีคุณภาพดีแล้ว ยังให้วิตามิน และแร่ธาตุ แคลเซียม ร่างกาย สามารถนำ แคลเซียมในนม ไปใช้ได้ดีกว่า แคลเซียมจากแหล่งอื่น แม้ว่างา และผักใบเขียว จะมีปริมาณ แคลเซียมสูงกว่านม ในน้ำหนักเท่ากัน แต่พืชผักเหล่านี้ ก็มีสาร ที่ขัดขวาง การดูดซึม แคลเซียมอยู่ด้วย เช่น สารไฟเตต ที่ผิวของเมล็ด และธัญพืช สารอ็อกซาเลต และใยอาหาร ในผักต่างๆ สารเหล่านี้ จะจับกับแคลเซียม ทำให้ดูดซึมได้น้อย ต่างจากนม ซึ่งมีน้ำตาลแล็กโตส เป็นตัวช่วย ในการดูดซึม แคลเซียมอยู่ในตัวเอง ร่างกาย จึงนำไปใช้ได้เต็มที่ สำหรับในผัก มีรายงานว่า แคลเซียมในผักคะน้า ร่างกายนำไปใช้ได้ดี แต่ประเภท ผักโขม ที่มี อ็อกซาเลตสูง ร่างกายดูดซึม แคลเซียมไปใช้ได้น้อย....."ควรเลือก รับประทานอาหารอย่างอื่น ที่พบว่า มีแคลเซียมสูงด้วย ต้องพิจารณาด้วยว่า อาหาร เช่น กะปิ กุ้งแห้ง หรือปลาเล็กปลาน้อย ที่บริโภค แต่ละครั้ง มีปริมาณแคลเซียม มากเพียงพอ หรือเปล่า และเรา รับประทาน เป็นประจำ ได้หรือไม่ ยกตัวอย่างเช่น เรากินกะปิ ประมาณ ๑ ช้อนชา จะได้แคลเซียมไม่ถึง ๘๐ มิลลิกรัม ขณะที่ ดื่มนมหนึ่งแก้ว ได้แคลเซียม ๓๐๐ มิลลิกรัม ซึ่งเท่ากับ ๓๘% ของปริมาณ ที่แนะนำ ให้บริโภค ต่อวัน (ผู้ใหญ่ ต้องการแคลเซียม วันละประมาณ ๘๐๐ มิลลิกรัม) นอกจากนี้ เราอาจ ไม่ได้ รับประทาน อาหาร ที่มีแคลเซียม เป็นประจำ จึงไม่ได้ปริมาณ แคลเซียม อย่างต่อเนื่อง แต่ถ้า ดื่มนม เราสามารถ กำหนดได้ว่า วันหนึ่ง เราจะดื่ม กี่แก้ว ปรกติ เราจะแนะนำให้ ผู้ใหญ่ดื่มนม วันละ ๑ แก้ว ซึ่งให้แคลเซียม เกือบ ๔๐ % ที่ร่างกายต้องการ ที่เหลือ ได้จากอาหารอื่น ๆ ....."สำหรับกรณีที่ มีผู้ให้ข้อมูลว่า อัตราส่วน แคลเซียม ต่อ ฟอสฟอรัส ในนมวัว ทำให้เกิด โรคกระดูกพรุนนั้น ดิฉัน ยืนยันว่า ไม่เป็นความจริง เพราะอัตราส่วน ที่อาจจะ ก่อให้เกิด กระดูกพรุน ได้ก็ต่อเมื่อ อัตราส่วนของ แคลเซียมต่อฟอสฟอรัส น้อยกว่า ๑ แต่ นม มีแคลเซียมต่อฟอสฟอรัส ๑.๒๗ : ๑ ซึ่งเป็นอัตราที่ เหมาะสมสำหรับ เด็ก ในวัยเจริญเติบโต และผู้ใหญ่ นม จึงไม่ใช่ สาเหตุของ โรคกระดุกพรุน....."โรคกระดูกพรุน เกิดจาก หลายสาเหตุด้วยกัน และสาเหตุหนึ่ง มาจาก ภาวะโปรตีนเกิน อาหาร โปรตีน ทุกชนิด มีฟอสฟอรัส การรับประทาน โปรตีนสูง จึงมีผล ทำให้อัตราส่วน ระหว่าง แคลเซียม ต่อ ฟอสฟอรัส ไม่สมดุล คือ ฟอสฟอรัส สูงกว่า แคลเซียม ทำให้ร่างกาย ดูดซึม แคลเซียม ลดลง ดิฉันคิดว่า สาเหตุที่ ร่างกายจะได้รับ ฟอสฟอรัส สูงเกิน น่าจะมาจาก การบริโภคเนื้อสัตว์ ที่มากเกิน เพราะเนื้อสัตว์ เป็นแหล่งฟอสฟอรัส สาเหตุที่ คนตะวันตก นิยมดื่มนม แต่ยังเป็น โรคกระดูกพรุนสูง ก็เพราะว่า มีการดื่มนม พร้อมกับ กินเนื้อสัตว์ ในปริมาณสูงเกินไป ดังนั้น การบริโภค อาหาร ที่ให้โปรตีนพอประมาณ และมีการดื่มนม ในปริมาณที่แนะนำ ประกอบกับ มีการ ออกกำลังกาย ด้วย จะช่วยป้องกัน ภาวะ กระดูกพรุน ....."ขณะนี้ มีนักวิชาการ บางท่าน สรุปว่า นม เป็นสาเหตุของโรคมะเร็ง ความจริงแล้ว มีงานวิจัย หลายชิ้น ยืนยันว่า อาหาร ที่มีไขมันสูง มีความสัมพันธ์ ต่อ การเกิดโรคมะเร็ง ดิฉันคิดว่า เราต้องพิจารณา อย่างละเอียดว่า ปริมาณนม ที่เราดื่ม ในแต่ละวัน มีไขมัน มากเกินไป หรือไม่ เพราะ นมธรรมดา หนึ่งแก้ว หรือปริมาณ ๒๐๐ มิลลิลิตร มีไขมันเพียง ๖.๕ กรัมเท่านั้น ยิ่งถ้า ดื่มนม พร่องมันเนย หรือนมขาดมันเนย ก็จะมี ปริมาณไขมัน น้อยกว่านี้ คือประมาณ ๒.๖ กรัม หรือ ๐.๒ กรัมตามลำดับ ถ้าเราดื่มนม ธรรมดา วันละ หนึ่งแก้วต่อวัน เราจะได้รับ ไขมัน เพียง ๖.๕ กรัม หรือร้อยละ ๑๐ ของไขมัน ที่ควรได้รับ ในแต่ละวัน ถ้าเราดื่มนม ไม่เกิน วันละสองแก้ว แล้วหันไป ดูแลสุขภาพ ในแง่อื่น ไม่บริโภค ไขมันจากสัตว์ โดยตรง น่าจะช่วย ป้องกัน มะเร็ง ได้มากกว่า คอยระวังเรื่อง การดื่มนม....."ยังไม่มี งานวิจัย ชิ้นไหน ที่ยืนยันว่า นม คือสาเหตุของ โรคมะเร็งโดยตรง หลักฐาน บ่งชี้ บอกเพียงแต่ว่า มีความเป็นไปได้เท่านั้น ที่การ บริโภคนม และผลิตภัณฑ์นม มากเกินไป อาจ ทำให้เกิด มะเร็งต่อมลูกหมากได้ เมื่อพิจารณา มะเร็งต่อมลูกหมาก ก็พบว่า มีความเสี่ยงสูง ถ้ามีการบริโภคเนื้อสัตว์ และไขมันสัตว์สูง ดิฉันคิดว่า น่าจะมีการ พิจารณา นิสัยการบริโภค ของผู้ป่วยโรคมะเร็งว่า ได้รับไขมันอิ่มตัว มาจาก อาหาร อะไรบ้าง ส่วนใหญ่ จะพบว่า ผู้ป่วย ได้รับไขมันอิ่มตัว มาจากเนื้อสัตว์ รวมทั้ง ไขมัน จากสัตว์ การบริโภคไขมัน โดยรวม ถ้ามีปริมาณสูง ก็เป็นปัจจัยสำคัญ ที่ก่อให้เกิด มะเร็ง ของอวัยวะ ต่าง ๆ อีกประการหนึ่ง การบริโภคผัก ผลไม้ ปริมาณมากพอ ก็จะช่วย ลดความเสี่ยง ต่อการเป็น มะเร็งได้ ดังนั้น จากข้อมูลดังกล่าว จะเห็นว่า ไม่สามารถสรุปได้ว่า นมคือสาเหตุของ โรคมะเร็ง โดยตรง ....."การที่ เรารณรงค์ ให้คนไทย ดื่มนม วันละหนึ่ง ถึงสองแก้ว เพราะนม เป็นแหล่งอาหารที่ดีของ โปรตีน แคลเซียม และวิตามิน ที่ร่างกาย ต้องการ และสะดวกต่อ การบริโภค เหมาะสำหรับ คนทุกเพศทุกวัย ผู้ที่ต้องการลด การบริโภคไขมัน ก็สามารถ ดื่มนม พร่อง หรือขาดมันเนย ก็ได้ ถ้าใคร มีปัญหาในการดื่มนม เช่น แพ้น้ำตาล แล็กโตส ในนม ก็ลดปัญหาได้ โดยการดื่มนม ครั้งละน้อย ๆ ก่อน หรือดื่มนม หลังอาหาร หรือ อาจรับประทาน โยเกิร์ต ชนิดครีม ก็ได้ สำหรับ ผู้ที่ไม่ดื่มนม ด้วยสาเหตุใด ๆ ก็ตาม คงต้องหา แหล่งแคลเซียม จากอาหารอื่น เช่น ปลาเล็ก ปลาน้อย ผักใบเขียวเข้ม และบริโภค ให้เพียงพอ อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ร่างกาย สามารถนำแคลเซียม ไปใช้ได้ดี ควรมี การออกกำลังกาย อย่างสม่ำเสมอ ด้วย"

จากhttp://www.sarakadee.com/feature/1999/04/milk2.htm

วันจันทร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2551

นมสโตลลี่ อาหารเพื่อชีวิต



นมสโตลลี่ อาหารเพื่อชีวิต

นมสโตลลี่ เป็นผลมาจากการรวมกันระหว่างสมมติฐานนมแม่กับเทคโนโลยีและวิธีการที่ทันสมัย กระบวนการสร้างภูมิคุ้มกันสูงโดยใช้วัคซีนเฉพาะและวิธีการผลิตโดยการฉีดพ่นด้วยสเปรย์โดยใช้อุณหภูมิต่ำ การทดสอบในห้องแล๊บและห้องตรวจกับมนุษย์และสัตว์หลายต่อหลายครั้งตั้งแต่ศรรตวรรษที่ 1980 พิสูจน์ว่า นมสโตลลี่ ช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันโรค ช่วยป้องกันการติดเชื้อไวรัส และลดผลข้างเคียงของยาปฏิชีวนะ นมสโตลลี่ยังอุดมไปด้วยสารอาหาร และสารปัจจัยที่ช่วยป้องกันโรคเรื้อรัง เช่น ข้ออักเสบ โรคภูมิแพ้ โรคกระเพาะอาหารและลำไส้ ภาวะหลอดเลือดอุดตัน และต่อต้านริ้วรอยแห่งวัยความเป็นหนึ่งของนมสโตลลี่ ในการใช้เทคนิคในการผลิตที่มีประสิทธิภาพของนมสโตลลี่ โดยได้รับสิทธิบัตรมากกว่า 250 สิทธิบัตรจากสิทธิคุ้มครองที่ได้รับจาก 27 ประเทศ นอกจากประเทศไทยแล้ว นมสโตลลี่ ยังได้รับให้วางจัดจำหน่ายในประเทศ อาทิเช่น ญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน ฮ่องกง นิวซีแลนด์ และอื่นๆ นมสโตลลี่ซึ่งมีปัจจัยหลัก 3 ปัจจัยซึ่งจำเป็นต่อการส่งเสริมสุขภาพของเรา และมันเทียบได้กับน้ำนมแม่ที่ควรได้รับ

ชมวีดีโอแนะนำ นมสร้างภูมิคุ้มกัน Stolle milk จากบริษัท Lanfar


โฆษณาน่ารักๆเกี่ยวกับการรณรงค์ให้ดื่มนม